เคยสังเกตไหม? รอยสิวบนหน้าคุณเป็นแบบไหน
รอยสิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและเป็นสิ่งที่หลายคนกังวลใจ แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้ก็ยังทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ดูหมองคล้ำ หรือไม่มั่นใจ วันนี้เรามาทำความเข้าใจ “รอยสิวแต่ละประเภท” ว่าเกิดจากอะไร และมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณเลือกการดูแลผิวได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
1. รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema)
รอยแดงมักเกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบ เมื่อหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังเกิดการขยายตัวหรือระคายเคือง ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีแดงหรือชมพูจาง ๆ จุดเด่นของรอยแดงคือสามารถจางลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป หากหลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว และบำรุงผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ รอยแดงถือว่าเป็นรอยสิวที่รักษาง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับรอยประเภทอื่น
2. รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
รอยดำเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินหลังการอักเสบของสิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นเข้มขึ้นหรือดูคล้ำกว่าสีผิวปกติ รอยดำมักจางช้ากว่ารอยแดง และต้องอาศัยการดูแลเป็นพิเศษ เช่น การทาครีมลดเม็ดสี การทากันแดดสม่ำเสมอ หรือการทำเลเซอร์เพื่อลดความเข้มของเม็ดสี รอยดำจึงเป็นรอยสิวที่หลายคนรู้สึกว่ากวนใจและต้องการเวลาในการฟื้นฟูมากขึ้น
3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
รอยหลุมสิวเป็นรอยลึกที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง มักเป็นผลจากสิวอักเสบรุนแรงหรือเรื้อรัง ทำให้ผิวเกิดรอยบุ๋มหรือไม่เรียบ ซึ่งเป็นรอยสิวที่รักษายากที่สุด การดูแลมักต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์ Pico, การทำ Subcision, ฟิลเลอร์ หรือการรักษาแบบผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
เข้าใจรอยสิว ก็เลือกการรักษาได้ตรงจุด
เมื่อรู้ว่ารอยสิวที่คุณมีเป็นแบบไหน ก็จะช่วยให้เลือกวิธีดูแลได้เหมาะสม ไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ หากเป็นรอยแดง อาจดูแลเองที่บ้านได้ แต่ถ้าเป็นรอยดำหรือรอยหลุม การทำเลเซอร์หรือการรักษาเฉพาะทางจะช่วยให้เห็นผลชัดเจนและเร็วกว่า