มือชาแบบนี้ เสี่ยงอะไรได้บ้าง

หลายคนอาจคิดว่าอาการ “มือชา” เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เกิดจากการนอนทับแขนหรือใช้งานมือหนักเกินไป แต่ความจริงแล้วอาการชาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง อาจซ่อนสัญญาณของโรคสำคัญ เช่น เบาหวาน เส้นประสาทถูกกดทับ กระดูกคอเสื่อม หรือแม้แต่โรคหลอดเลือดสมองได้ หากละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้โดยไม่หาสาเหตุ อาจทำให้โรครุนแรงขึ้นและยากต่อการรักษาได้ในอนาคต
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมือชา
- เส้นประสาทกดทับหรือเส้นประสาทถูกบีบรัด
- เช่น ภาวะพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ที่พบบ่อยในคนทำงานใช้มือเยอะ ๆ
- ทำให้ปลายนิ้วมือชา ปวด หรือมีอาการแสบ ๆ ร้อน ๆ
- การขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี 12
- วิตามินบี 12 มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท
- หากขาด อาจทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง และเหน็บชาได้บ่อย
- มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่กินมังสวิรัติ หรือผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่ดูดซึมสารอาหารไม่ดี
- การได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด
- เช่น สารตะกั่ว แอลกอฮอล์ ยาบางประเภทที่มีผลต่อระบบประสาท
- ทำให้ปลายประสาทเสื่อม เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า
- หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
- เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อมไปกดทับเส้นประสาท
- ทำให้มีอาการปวดร้าวจากต้นคอลงแขน หรือจากหลังลงไปที่มือ
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
- ภาวะไทรอยด์ต่ำ อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีอาการชาได้
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- แอลกอฮอล์มีผลต่อการทำงานของเส้นประสาทและระบบการไหลเวียนเลือด
- ทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบและมีอาการชาตามมา
- โรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยเบาหวานมักมีภาวะแทรกซ้อนคือเส้นประสาทเสื่อม (Diabetic Neuropathy)
- ทำให้มีอาการชา ปลายมือปลายเท้าแสบร้อน เจ็บเหมือนถูกเข็มแทง
อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์?
- มือชาบ่อยๆ หรือเป็นนานเกิน 2-3 สัปดาห์
- ชาร่วมกับปวดร้าวแขน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีอาการชาเฉียบพลันร่วมกับพูดไม่ชัด มองเห็นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
วิธีดูแลและป้องกันอาการมือชา
- ปรับท่าทางในการทำงาน หลีกเลี่ยงการใช้งานมือและข้อมือหนักเกินไป
- พักมือเป็นระยะเมื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือมือถือ
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม หรืออาหารเสริมถ้าจำเป็น
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลิกสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์
ดังนั้น “มือชา” ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เสมอไป หากอาการเกิดบ่อยหรือเป็นนาน ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและรุนแรงมากขึ้นได้