Bangpakok Hospital

มือชาแบบนี้ เสี่ยงอะไรได้บ้าง

28 ส.ค. 2568

หลายคนอาจคิดว่าอาการ “มือชา” เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เกิดจากการนอนทับแขนหรือใช้งานมือหนักเกินไป แต่ความจริงแล้วอาการชาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง อาจซ่อนสัญญาณของโรคสำคัญ เช่น เบาหวาน เส้นประสาทถูกกดทับ กระดูกคอเสื่อม หรือแม้แต่โรคหลอดเลือดสมองได้ หากละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้โดยไม่หาสาเหตุ อาจทำให้โรครุนแรงขึ้นและยากต่อการรักษาได้ในอนาคต


สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมือชา

  1. เส้นประสาทกดทับหรือเส้นประสาทถูกบีบรัด
    • เช่น ภาวะพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ที่พบบ่อยในคนทำงานใช้มือเยอะ ๆ
    • ทำให้ปลายนิ้วมือชา ปวด หรือมีอาการแสบ ๆ ร้อน ๆ

  2. การขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี 12
    • วิตามินบี 12 มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท
    • หากขาด อาจทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง และเหน็บชาได้บ่อย
    • มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่กินมังสวิรัติ หรือผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่ดูดซึมสารอาหารไม่ดี

  3. การได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด
    • เช่น สารตะกั่ว แอลกอฮอล์ ยาบางประเภทที่มีผลต่อระบบประสาท
    • ทำให้ปลายประสาทเสื่อม เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า

  4. หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
    • เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อมไปกดทับเส้นประสาท
    • ทำให้มีอาการปวดร้าวจากต้นคอลงแขน หรือจากหลังลงไปที่มือ

  5. ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
    • ภาวะไทรอยด์ต่ำ อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีอาการชาได้

  6. การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
    • แอลกอฮอล์มีผลต่อการทำงานของเส้นประสาทและระบบการไหลเวียนเลือด
    • ทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบและมีอาการชาตามมา

  7. โรคเบาหวาน
    • ผู้ป่วยเบาหวานมักมีภาวะแทรกซ้อนคือเส้นประสาทเสื่อม (Diabetic Neuropathy)
    • ทำให้มีอาการชา ปลายมือปลายเท้าแสบร้อน เจ็บเหมือนถูกเข็มแทง

อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์?

  • มือชาบ่อยๆ หรือเป็นนานเกิน 2-3 สัปดาห์
  • ชาร่วมกับปวดร้าวแขน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • มีอาการชาเฉียบพลันร่วมกับพูดไม่ชัด มองเห็นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง

วิธีดูแลและป้องกันอาการมือชา

  • ปรับท่าทางในการทำงาน หลีกเลี่ยงการใช้งานมือและข้อมือหนักเกินไป
  • พักมือเป็นระยะเมื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือมือถือ
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม หรืออาหารเสริมถ้าจำเป็น
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลิกสูบบุหรี่
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์

ดังนั้น “มือชา” ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เสมอไป หากอาการเกิดบ่อยหรือเป็นนาน ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและรุนแรงมากขึ้นได้



Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.