อาการแบบไหน ควรทำกายภาพบำบัด

หลายคนอาจเคยปวดเมื่อยตามร่างกาย ขยับข้อไม่สะดวก หรือมีอาการชาตามแขนขาแล้วสงสัยว่า “ควรทำกายภาพบำบัดหรือยัง?” ความจริงแล้ว กายภาพบำบัดไม่ได้มีไว้เฉพาะผู้ป่วยที่อาการรุนแรง แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว เจ็บป่วยหลังผ่าตัด หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเช่นเดิม การทำกายภาพบำบัดช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและข้อต่อ รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
อาการแบบไหน ควรทำกายภาพบำบัด?
1. ปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ
อาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดจากการใช้งานซ้ำ ๆ สามารถบรรเทาได้ด้วยกายภาพบำบัด ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ แก้ไขท่าทางการใช้ร่างกาย และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
2. ภาวะข้อติด
เช่น ข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) หรือ นิ้วล็อค มักทำให้เคลื่อนไหวลำบาก กายภาพบำบัดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดอาการเจ็บ และฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของข้อให้กลับมาใกล้เคียงปกติ
3. กล้ามเนื้ออ่อนแรง
เช่น ผู้ที่เป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อฝ่อลีบจากการเจ็บป่วย กายภาพบำบัดช่วยกระตุ้นและฝึกกล้ามเนื้อที่ยังทำงานได้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระมากขึ้น
4. ปัญหาการทรงตัวและการเดิน
ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด มักมีปัญหาเรื่องการทรงตัวและการเดิน ซึ่งเสี่ยงต่อการหกล้ม กายภาพบำบัดจะช่วยฝึกการทรงตัว เสริมกำลังกล้ามเนื้อ และเพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนไหว
5. อาการชา จากเส้นประสาทถูกกดทับ
เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือ อาการชาแขน ชาขา กายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บ ลดการกดทับ และปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย
6. ผู้ป่วยหลังผ่าตัด
เช่น ผ่าตัดเข่า ผ่าตัดสะโพก หากไม่ได้ทำกายภาพบำบัด อาจทำให้เคลื่อนไหวลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือข้อยึดติด การฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัดจะช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ
กายภาพบำบัดไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ยังเป็นการ ป้องกันและฟื้นฟู ให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บซ้ำ และช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น หากมีอาการข้างต้น ไม่ควรปล่อยไว้ ควรเข้าพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการประเมินและการดูแลอย่างเหมาะสม