ไข้เลือดออกในเด็ก อันตรายที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะ และในช่วงฤดูฝน เด็กเล็กคือกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง การวินิจฉัยอาจทำได้ยากในช่วงแรก เพราะอาการมักคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่หากปล่อยไว้อาจรุนแรงถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้
เพื่อช่วยให้พ่อแม่ดูแลลูกน้อยได้อย่างทันท่วงที มาทำความเข้าใจ “3 ระยะสำคัญของโรคไข้เลือดออก” ไปพร้อมกัน
ระยะที่ 1 : ระยะไข้สูง (Fever Phase)
ระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 2-7 วัน เป็นช่วงที่เชื้อไวรัสเริ่มแสดงตัวผ่านอาการไข้สูงและความอ่อนเพลีย
- ไข้สูงถึง 38–40°C ต่อเนื่องหลายวัน
- ยาลดไข้ไม่ค่อยได้ผล
- เด็กซึม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยตามตัว
- อาจมีจุดแดงคล้ายยุงกัด กระจายตามตัว
อย่าชะล่าใจ! ถ้าไข้ไม่ลดแม้ให้ยาลดไข้ ควรรีบพาไปพบแพทย์
ระยะที่ 2 : ระยะวิกฤต (Critical Phase)
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าไข้ลดลงแปลว่าดีขึ้น แต่จริงๆ แล้ว นี่คือช่วงอันตรายที่สุดของโรค โดยมักเกิดขึ้นในวันที่ 4-6 ของอาการ
สัญญาณอันตราย:
- ไข้เริ่มลด แต่อาการโดยรวมกลับแย่ลง
- เด็กซึมมาก พูดน้อย ไม่เล่น
- มือเท้าเย็น ผิวซีด ความดันต่ำ
- ปวดท้องมาก ถ่ายเหลว อาเจียนบ่อย
- ปัสสาวะน้อยลง
- ผื่นแดง หรือมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
นี่คือช่วงที่อาจเกิดภาวะช็อกได้! หากไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในเวลาอันสั้น
ระยะที่ 3 : ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase)
หากผ่านช่วงวิกฤตมาได้ เด็กจะเริ่มมีอาการดีขึ้นในช่วง 2-3 วันถัดมา ถือเป็นช่วงฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ยังต้องดูแลอย่างระมัดระวัง
อาการฟื้นตัว:
- อุณหภูมิร่างกายกลับสู่ปกติ
- พลังเริ่มกลับมา ร่าเริงขึ้น
- ความดันโลหิตคงที่ ปัสสาวะกลับมาใกล้เคียงปกติ
- เริ่มกินอาหารได้
- อาจมีผื่นใหม่หรืออาการคันตามผิวหนัง
- ผื่นที่เคยขึ้นเริ่มจางลง
ช่วงนี้ต้องระวังภาวะ น้ำเกินในร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กที่ได้รับน้ำเกลือเยอะในช่วงก่อนหน้า ควรสังเกตอาการบวม หอบ หรือเหนื่อยผิดปกติ
วิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก
แม้ยังไม่มีวัคซีนที่ได้ผลดีในเด็กเล็ก แต่การป้องกันไม่ให้ยุงกัดคือหัวใจสำคัญ
- กำจัดแหล่งน้ำขังรอบบ้านเป็นประจำ
- ใช้มุ้ง มุ้งลวด หรือฉีดสเปรย์กันยุงในบ้าน
- ให้เด็กใส่เสื้อแขนยาว ขายาวเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- หมั่นสังเกตอาการไข้ผิดปกติ หากไม่ดีขึ้นใน 2 วันควรพบแพทย์ทันที
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงและลดอัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้
หมายเหตุ : ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนเพื่อประเมินความเหมาะสม และติดตามแนวทางจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด