Bangpakok Hospital

กินแล้วนอนเสี่ยง โรคกรดไหลย้อน

21 ก.ค. 2568

หลายคนอาจคุ้นเคยกับพฤติกรรม “กินแล้วนอน” ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารเย็นมื้อหนักๆ แล้วรีบนอนเพราะเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน หรือการนอนดูทีวีพร้อมของว่างจนอิ่ม แล้วเผลอหลับไปบนโซฟาโดยไม่ได้ตั้งใจ พฤติกรรมเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและเกิดขึ้นได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่รู้หรือไม่ว่า การกินแล้วนอนทันทีเป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ซึ่งหากเป็นบ่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการเรื้อรัง จนรบกวนการใช้ชีวิตและการนอนหลับได้ โรคกรดไหลย้อนอาจเริ่มต้นจากแค่อาการแสบกลางอก หรือเรอบ่อยหลังอาหาร แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ปรับพฤติกรรม หรือรักษาอาจลุกลามจนเกิดแผลในหลอดอาหาร หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

กรดไหลย้อนคืออะไร?

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) คือภาวะที่มีกรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร อันเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร ซึ่งปกติแล้วจะเปิดเพื่อให้อาหารผ่านเข้าไปในกระเพาะ และปิดเพื่อไม่ให้อาหารไหลย้อนกลับ เมื่อกล้ามเนื้อนี้อ่อนแรง หรือเกิดแรงดันจากอาหารในกระเพาะมากเกินไป เช่น หลังมื้อใหญ่ แล้วนอนราบทันที ก็จะทำให้กรดสามารถไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย

 

ทำไม “กินเสร็จแล้วนอน” ถึงอันตราย?

เมื่อเรารับประทานอาหารแล้วนอนทันที จะทำให้แรงโน้มถ่วงที่ช่วยให้อาหารไหลลงสู่กระเพาะอาหารลดลง ส่งผลให้กรดในกระเพาะสามารถไหลย้อนกลับขึ้นมาสู่หลอดอาหารได้ง่าย โดยเฉพาะในมื้อเย็น หรือช่วงกลางคืนที่ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงตามนาฬิกาชีวภาพ นอกจากนี้ การนอนหลับในท่าราบ โดยไม่มีการยกศีรษะให้สูง ยังเพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดอีกด้วย

 

 อาการที่พบบ่อยของโรคกรดไหลย้อน

  • แสบร้อนกลางอก หรือบริเวณลิ้นปี่ (heartburn) โดยเฉพาะหลังอาหารหรือก่อนนอน
  • เรอบ่อย รู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปาก
  • รู้สึกเจ็บคอ เสียงแหบเรื้อรัง
  • ไอแห้งๆ ตอนกลางคืน
  • กลืนอาหารลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนในคอ
  • อาการคล้ายโรคกระเพาะ เช่น จุกแน่น แสบหน้าอก ท้องอืด

บางรายที่มีอาการเรื้อรัง อาจนำไปสู่แผลในหลอดอาหาร หลอดอาหารอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

 

วิธีป้องกันกรดไหลย้อนจากพฤติกรรมกินแล้วนอน

  1. เว้นระยะอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารก่อนเข้านอน เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารและลดโอกาสที่กรดจะไหลย้อน
  2. หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นอาการ เช่น อาหารมัน ของทอด ช็อกโกแลต กาแฟ ชา น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด
  3. ไม่กินอาหารปริมาณมากเกินไปในมื้อเดียว โดยเฉพาะช่วงเย็น ควรแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ
  4. หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังมื้ออาหาร หากง่วง ควรนั่งพิง หรือเอนตัวเล็กน้อยแทน
  5. ยกหัวเตียงให้สูงประมาณ 6-8 นิ้ว หรือใช้หมอนหนุนบริเวณหลังและศีรษะเพื่อป้องกันกรดไหลย้อนขณะนอน
  6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ เพราะคนที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะมีแรงดันในช่องท้องสูงขึ้น ส่งผลต่อการไหลย้อนของกรด
  7. หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดแน่นบริเวณหน้าท้อง
 

หากมีอาการเรื้อรัง ควรพบแพทย์

แม้โรคกรดไหลย้อนจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว เช่น ทำให้นอนหลับไม่สนิท มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินอาหาร

การพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องทางเดินอาหาร หรือทดสอบค่าความเป็นกรด (pH) ในหลอดอาหาร จะช่วยให้การวางแผนการรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ยาในกลุ่มยาลดกรด หรือยาที่ช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารทำงานดีขึ้น



 

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.