ทำไมผู้สูงอายุถึงเสี่ยง 'รากฟันผุ' มากกว่าคนทั่วไป

เมื่อพูดถึงฟันผุ หลายคนอาจนึกถึงแค่รูผุบนฟันด้านบน แต่ในความเป็นจริง รากฟันผุ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มเกิดได้ง่ายกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย เช่น เหงือกร่น น้ำลายลดลง และการดูแลุขภาพช่องปากที่ลดลง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้รากฟันเสี่ยงต่อการผุได้มากขึ้น สิ่งที่ทำให้รากฟันผุอันตรายคือ มักไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้อาจลุกลามจนต้องถอนฟัน หรือส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น การเคี้ยวอาหารไม่สะดวก การติดเชื้อในช่องปาก และอาจทำให้คุณภาพชีวิตลดลงโดยไม่รู้ตัว
ทำไมผู้สูงอายุจึงเสี่ยง รากฟันผุ มากกว่าคนทั่วไป
- เหงือกร่น เมื่ออายุมากขึ้น เหงือกมักร่นลงจนเห็นรากฟัน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีเคลือบฟันมาป้องกัน จึงทำให้แบคทีเรียสามารถเกาะและทำลายรากฟันได้ง่าย
- น้ำลายน้อย/การใช้ยาหลายชนิด เช่น ยาความดัน ยาเบาหวาน หรือยานอนหลับ ส่งผลให้ปริมาณน้ำลายลดลง ทำให้ความสามารถในการชะล้างคราบอาหารและแบคทีเรียลดลงตามไปด้วย
- การดูแลสุขภาพช่องปากไม่เพียงพอ ผู้สูงอายุบางรายอาจมีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว ทำให้แปรงฟันไม่สะอาดพอ หรือหลงลืมดูแลช่องปากเป็นประจำ
อาการที่ควรสังเกต
- ปวดฟันหรือเสียวฟันขณะรับประทานอาหารร้อนหรือเย็น
อาการปวดหรือเสียวฟันบ่งชี้ว่าเนื้อฟันด้านใน (เนื้อเยื่อโพรงประสาทฟัน) อาจถูกกระทบกระเทือนจากแบคทีเรียหรือกรดที่เกิดจากคราบจุลินทรีย์ รากฟันไม่มีชั้นเคลือบฟันมาปกป้องเหมือนส่วนบนของฟัน จึงไวต่อความร้อนและเย็นมากเป็นพิเศษ หากปล่อยไว้อาการจะรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นปวดตลอดเวลา
- เห็นรอยดำหรือรอยสีน้ำตาลบริเวณโคนฟันหรือรากฟัน
บริเวณรอยต่อระหว่างเหงือกกับฟันหรือบริเวณที่เหงือกร่นลงไป อาจเกิดจุดสีคล้ำหรือเป็นโพรงเล็กๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการผุในรากฟัน บางคนอาจไม่รู้สึกเจ็บในช่วงแรก แต่หากผุลึกลงไปเรื่อยๆ จะกระทบเส้นประสาททำให้เกิดอาการปวดหรือฟันแตกได้ง่าย
- มีกลิ่นปากแม้จะทำความสะอาดแล้ว
รากฟันที่ผุจะกลายเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรีย ซึ่งสร้างก๊าซที่มีกลิ่นเหม็น กลิ่นปากจากรากฟันผุจะต่างจากกลิ่นปากทั่วไป เพราะจะไม่หายไปแม้จะบ้วนปากหรือแปรงฟัน การที่มีโพรงฟันหรือเนื้อฟันที่ถูกทำลายจากการผุยังทำให้เศษอาหารติดสะสมและย่อยสลายในช่องปากได้อีกด้วย
- ฟันโยก หรือรู้สึกฟันไม่มั่นคง
การผุของรากฟันมักเกิดร่วมกับปัญหาเหงือกและกระดูกเบ้าฟัน หากรากฟันถูกทำลายลึกถึงชั้นล่าง หรือมีการติดเชื้อบริเวณปลายรากจะทำให้ฟันสูญเสียแรงยึดเหนี่ยวกับกระดูกเบ้าฟันส่งผลให้ฟันโยก หรือรู้สึกฟันไม่แน่นเมื่อเคี้ยวอาหารอาจทำให้เจ็บหรือรู้สึกไม่สบาย
- มีเศษอาหารติดซ้ำๆ บริเวณเดิม
จุดที่มีฟันผุมักเป็นร่องหรือโพรงเล็กๆ ทำให้เศษอาหารติดค้างได้ง่ายโดยเฉพาะระหว่างฟันหรือใกล้เหงือก แม้จะแปรงฟันแล้วก็ยังมีเศษตกค้าง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ควรรีบพบทันตแพทย์ หากปล่อยไว้จะยิ่งเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียก่อให้เกิดการอักเสบ และผุลุกลามได้เร็ว
วิธีป้องกัน
- แปรงฟันอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง
- ใช้แปรงขนอ่อน และยาสีฟันผสมฟลูออไรด์
- แปรงบริเวณคอฟันอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้เหงือกร่นมากขึ้น
- ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน ทำความสะอาดซอกฟันและร่องเหงือกทุกวัน ช่วยลดคราบจุลินทรีย์
- บ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
- พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจฟัน ตรวจสุขภาพเหงือก และขูดหินปูน
- ดูแลฟันปลอมให้สะอาดอยู่เสมอ ถอดล้างทุกครั้งหลังอาหาร และแปรงฟันปลอมก่อนนอน
- กระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
- ดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดวัน
- เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ หรือบุหรี่ที่ลดการหลังน้ำลาย
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- การเคลือบฟลูออไรด์เฉพาะที่ (Fluoride Varnish) เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันรากฟันผุได้ดี โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรทำหรือไม่
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน ลูกอม ควรหลีกเลี่ยง เพราะเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกรดทำลายฟัน
- ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ควรแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งก่อนทำการรักษา เพราะยาบางชนิดมีผลต่อสุขภาพช่องปาก