ไข้มาลาเรีย โรคอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง

ในชีวิตประจำวันของหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้ป่าเขา การออกไปทำสวน ทำไร่ พักแคมป์ เดินป่า หรือแม้แต่กระทั่งเล่นกลางแจ้งยามเย็นอาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเบื้องหลังความสงบของธรรมชาติเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยภัยเงียบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นก็คือโรคมาลาเรีย ซึ่งมากับยุงก้นปล่องเพศเมียที่กัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าสู่ร่างกาย แม้ว่าโรคมาลาเรียจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอาการของโรคในช่วงแรกมักคล้ายกับไข้หวัดทั่วไปทำให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยชะล่าใจและปล่อยให้เชื้อลุกลาม จนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงโดยไม่รู้ตัว
มาลาเรีย (Malaria) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากปรสิตกลุ่ม Plasmodium ซึ่งแพร่กระจายผ่านการถูกกัดโดย ยุงก้นปล่องเพศเมีย ที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ในตัว ยุงชนิดนี้มักกัดในช่วงกลางคืน ตั้งแต่หัวค่ำถึงเช้ามืด และพบมากในพื้นที่ป่าเขา เขตชนบท หรือบริเวณที่มีน้ำขัง
เชื้อมาลาเรียคืออะไร?
เชื้อมาลาเรียเป็น โปรโตซัว ชนิดหนึ่งที่มีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่ก่อโรคในคนที่สำคัญ ได้แก่
- Plasmodium falciparum – เป็นชนิดที่รุนแรงที่สุด เสี่ยงทำให้เกิด มาลาเรียขึ้นสมอง และอาจเสียชีวิตได้
- Plasmodium vivax – พบได้บ่อยในไทย อาการไม่รุนแรงเท่า P. falciparum แต่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้
- Plasmodium ovale, Plasmodium malariae, และ Plasmodium knowlesi – พบน้อย แต่ก็สามารถทำให้ป่วยได้เช่นกัน
อาการของโรคมาลาเรีย
หลังจากถูกยุงที่มีเชื้อกัด เชื้อจะฟักตัวในร่างกายประมาณ 10-14 วัน ก่อนจะแสดงอาการ ซึ่งอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูง หนาวสั่นเป็นพักๆ – เป็นอาการเด่นที่คล้ายไข้หวัดใหญ่
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออกมากหลังไข้ลด
ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
- มาลาเรียขึ้นสมอง (Cerebral malaria) – มักเกิดจาก P. falciparum ทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
- ภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง – เนื่องจากเชื้อทำลายเม็ดเลือดแดง
- ไตวายเฉียบพลัน
- ปอดบวมน้ำ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
การป้องกันโรคมาลาเรีย
แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนที่ใช้แพร่หลายในประเทศไทย แต่การป้องกันสามารถทำได้โดย
- ใช้ยาทากันยุง – โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง เช่น ป่า ภูเขา หรือหมู่บ้านห่างไกล
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด – เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำถึงเช้ามืด
- อนในมุ้งที่ผ่านการเคลือบสารกันยุงชนิดพิเศษ – เช่น มุ้งชุบสารไพรีทรอยด์ (Permethrin)
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง – เช่น แหล่งน้ำขัง เศษภาชนะที่มีน้ำ
- ใช้ยาป้องกันเชื้อมาลาเรีย (prophylaxis) – สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น ประเทศในแอฟริกาหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางพื้นที่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง
พื้นที่เสี่ยงในประเทศไทย
- ภาคใต้ตอนล่าง
- ชายแดนไทย-เมียนมา, ไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว
- เขตป่าเขาในจังหวัดทางภาคเหนือและตะวันตก เช่น แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- มาลาเรีย ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง ยกเว้นกรณีได้รับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ติดเชื้อ
- การกลับมาเป็นซ้ำของมาลาเรีย P. vivax และ P. ovale เกิดจากเชื้อที่หลบซ่อนในตับ การรักษาจึงต้องกำจัดทั้งในเลือดและในตับ
โรคมาลาเรียเป็นภัยสุขภาพที่ป้องกันได้ และหากตรวจพบเร็ว รักษาอย่างถูกต้อง ก็สามารถหายขาดได้ แต่หากละเลยอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือเสียชีวิตได้เช่นกัน อย่าลืมป้องกันตนเองจากยุงก้นปล่อง และหมั่นสังเกตอาการเสี่ยง โดยเฉพาะหากเคยเข้าเขตป่าหรือพื้นที่ชายแดน